เทศน์เช้า วันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๓
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ศาสนาเป็นเครื่องขัดเกลากิเลสนะ เรามีศาสนาเป็นที่พึ่ง ถ้าไม่มีศาสนาเห็นไหม คนเราหมู่มาก คนรวมกันแล้วเป็นชาติ ถ้าไม่มีประเพณีวัฒนธรรม ถ้าจิตใจเห็นแก่ตัว ทุกคนเห็นแก่ตัว มันก็ทำให้สังคมมีความกระทบกระเทือนกันไป
แต่ถ้าคนที่มีจิตใจเสียสละ จิตใจที่เป็นสาธารณะ แต่เดิมสมัยโบราณของเรา หน้าบ้านหน้าเรือนจะมีน้ำไว้เพื่อเจือจานกัน จิตใจนี้มันแสดงถึงน้ำใจ ถ้าน้ำใจมันคิดถึงคนเวลาทุกข์เวลายาก ทุกคนจะเจือจานกัน ทุกคนจะเสียสละกัน
นี่ก็เหมือนกัน เรามาทำบุญกุศลเพื่ออะไร เพื่อเมตตาตัวเองนะ บุญกุศลเป็นที่พึ่งของเรานะ เวลามันทุกข์ร้อนในหัวใจ สิ่งใดมันจะมาถอดถอนได้ มันจะมาดับความเร่าร้อนในหัวใจของเราได้ มันมีบุญกุศล แล้วบุญกุศลมันเกิดขึ้นจากอะไรล่ะ บุญกุศลเราเกิดขึ้นมาเห็นไหม เรามองแต่ว่าคนมีอำนาจวาสนา สิ่งนั้นมันเป็นบุญกุศล
บุญกุศลนั้นมันก็เป็นบุญกุศลอันหนึ่ง เพราะเขาสร้างบุญกุศลของเขามา เป็นจังหวะและโอกาสของคนนะ ดูซิ คนเราถ้ามีฐานะขึ้นมาแล้วรักษาสิ่งนั้นไว้ไม่ได้นาน แต่บางคนน่ะสืบต่อเป็นรุ่นๆ ไป เพราะอะไร เพราะเขาได้สร้างของเขามา เขาได้ทำของเขามา ลูกหลานของเรา ถ้าเราดูแลรักษา เราสั่งสอนขึ้นมาให้ดี ลูกหลานของเรานิสัยใจคอมันก็จะดีไป
แต่มันก็มีกรรมอีกอันหนึ่ง กรรมฝังมากับหัวใจนั้น เราจะปรารถนาดีขนาดไหน เราพยายามฝึกฝนขนาดไหน มันไปถึงที่สุดแล้ว นี่อุเบกขา ! เราต้องมีอุเบกขาของเรา เราพยายามทำของเราจนถึงที่สุดแล้ว ถ้ามันเป็นไปไม่ได้ มันก็คือความเป็นไปไม่ได้อย่างนั้น อันนี้เป็นเรื่องของกรรมนะ !
เรื่องของกรรมเห็นไหม เป็นเรื่องของอจินไตย อจินไตยที่ไม่มีต้นไม่มีปลาย เราไม่สามารถแยกแยะได้เลยว่าสิ่งนี้มาตั้งแต่เมื่อใด เพราะอะไร เพราะมันมีการทับถมมาในหัวใจของเรา สิ่งนั้นมันเกิดมา นี่สายบุญสายกรรมเห็นไหม นี่ความศรัทธาความเชื่อ !
ถ้าไม่มีศรัทธาความเชื่อ ดูต้นไม้ซิ เวลาเราล้มต้นไม้แต่ละต้นมา ต้นไม้นั้นจะใช้ประโยชน์สิ่งใดได้ ถ้าเป็นไม้เนื้อแข็งนะโค่นมาแล้วก็เป็นต้นไม้ทั้งต้นนั้นล่ะ เราจะใช้ประโยชน์สิ่งใด เราก็ต้องเอาไปโรงเลื่อย เลื่อยมาใช้ในสิ่งใด เวลาใช้สร้างบ้านเรือนจะใช้สิ่งประกอบสิ่งใด
ไม้บางชนิด เวลาเราโค่นมาแล้ว มันใช้ได้เป็นไม้แบบ เขาไม่ได้เอามาสร้างบ้านสร้างเรือนนะ เขาเอามาสร้างเพื่อเป็นแบบ เพื่อจะสร้างบ้านเรือนอีกต่างหาก เวลาเขาสร้างบ้านเรือนเสร็จแล้ว ไม้แบบนั้นจะไม่มีประโยชน์อะไรกับเขาเลย
แม้แต่ต้นไม้แต่ละชนิด เขาก็ใช้ประโยชน์แตกต่างกันไป ความใช้แตกต่างกันไป อยู่ที่การใช้สอยของเขา แล้วเป็นผู้ที่มีความฉลาดเห็นไหม ผู้ที่มีความฉลาดเขาจะรู้จักการใช้ไม้ใช้สอยนั้น เพื่อบ้านเรือนของเขา เราเองก็มีศรัทธาความเชื่อของเราว่า ทำบุญกุศลแล้วเราได้บุญกุศล เราก็สร้างบุญกุศล
บุญคืออะไร... เราไม่เข้าใจไง พอเวลาเขาสร้างบ้านสร้างเรือนขึ้นมาเพื่อพึ่งพาอาศัย ไว้หลบแดดหลบฝน หัวใจของเรา เราต้องการบุญกุศล แล้วบุญกุศลมันคืออะไรล่ะ เราไปอยู่กลางแดดกลางฝน แล้วบอกว่าเราจะหาที่หลบภัย หลบภัยได้อย่างไร ! ในเมื่อเราไปอยู่กลางพายุ กลางแดด กลางฝน อย่างนั้น มันจะหลบภัยได้อย่างไร
การหลบภัยเราต้องมีที่อาศัยของเรา แล้วที่อาศัยมันอยู่ที่ไหนล่ะ เวลาเราสร้างบุญกุศล บุญเห็นไหม ทาน ศีล ภาวนา เรื่องของทาน คือศรัทธาความเชื่อ ถ้ามีศรัทธาความเชื่อ แล้วเราเชื่อในสิ่งใด เราเชื่อในพระรัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระธรรมเห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา
ธรรมคืออะไร... ธรรมคือน้ำอมตธรรม ที่มันจะชำระความเร่าร้อนในหัวใจ ถ้าความเร่าร้อนในหัวใจ หัวใจเราเร่าร้อนอยู่ แต่เราไม่มีสิ่งใดที่จะไปดับเห็นไหม เราก็อาศัยครูบาอาจารย์ อาศัยฟังเทศน์ ! ฟังเทศน์ ! สิ่งใดที่ไม่เคยได้ยินมันสะเทือนหัวใจ
เห็นไหมมันสะดุด เรามีความเร่าร้อน เอาสิ่งใดเข้ามาดับไฟในหัวใจของเรา ธรรมะเห็นไหม ธรรมะนี้ไม่ใช่ของเรานะ มันยังดับไฟในหัวใจของเราได้เลย แล้วถ้ามันเป็นของเราล่ะ มันจะมีความร่มเย็นขนาดไหน
ถ้ามีความร่มเย็นขนาดไหน นี่ไง ที่บอกว่าทำบุญกุศลแล้วบุญกุศลมันคือสิ่งใด ดูเราแสวงหาบุญกัน ผู้คนจะร่ำร้องนะ เป็นคนดีทั้งนั้นน่ะ เสียสละมามหาศาล ทำไมมันทุกร้อนล่ะ เสียสละอย่างนั้นมันเป็นเรื่องอามิส ! มันเป็นเรื่องปัจจัยเครื่องอาศัย มันดับไฟในหัวใจของเราไม่ได้หรอก !
ดูซิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าชายเจ้าชายสิทธัตถะจะได้ครองราชย์อยู่แล้ว ไปเที่ยวสวน เห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย มันเร่าร้อนในหัวใจนะ เราต้องเป็นอย่างนี้หรือ ทั้งๆ ที่เป็นกษัตริย์ เป็นกษัตริย์คืออะไร คือสถานะใช่ไหม คือสิ่งที่สิทธิเราปกครองใช่ไหม อย่างนั้นเป็นบุญกุศลไหม มันเป็นความร่มเย็นเป็นสุขไหม แต่เวลาไปเห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย มันเป็นเรื่องส่วนตัวใช่ไหม มันเป็นเรื่องหัวใจใช่ไหม
นี่เหมือนกัน เวลาฟังธรรมๆ การฟังธรรม ! สิ่งที่ไม่เคยได้ยินได้ฟัง สิ่งที่ได้ยินได้ฟังแล้วมันจะตอกย้ำในหัวใจของเรา มันก็จะเตือนหัวใจเราไง เตือนว่าสิ่งนี้ผิดสิ่งนี้ถูกไง แต่ความที่พึ่งอาศัยของเราล่ะ บ้านเรือนของเราล่ะ
ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้ามีสติปัญญาขึ้นมา เราจะมีที่พึ่งอาศัยของเรา เราทำความสงบของใจของเราได้ หลวงตาบอกว่า ถ้าทำความสงบของใจได้ จะพออยู่พอกิน จิตใจของเรา ถ้าทำความสงบของเราได้ มันมีพออยู่พอกิน.. พออยู่พอกินนะ เราก็ใช้สอยไปทุกวันใช่ไหม
แต่สิ่งใดเป็นอกุปปธรรม อฐานะที่มันจะแปรภาพ อฐานะที่มันจะมีการเปลี่ยนแปลง ความจริงสิ่งใดเป็นอนิจจัง สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็น...
สรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจังหมด ทุกอย่างเป็นอนิจจังหมด ไม่มีอะไรคงที่ซักอย่างหนึ่งเลย ถ้าสิ่งที่เป็นอนิจจังมันแปรปรวนไง มันแปรปรวน.. มันคงที่ไม่ได้นะ มันก็เคลื่อนไหวไปใช่ไหม มันแปรสภาพมันไปใช่ไหม เราก็มีความทุกข์ เพราะเราไม่อยากให้มันเป็นอย่างนั้น
สิ่งใดมีต่างๆ สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา ทุกข์อยู่กับเราไม่ได้หรอก ทุกข์อยู่กับเราชั่วคราวเท่านั้นแหละ ถ้าเรายิ่งยึดมั่นถือมั่น มันก็จะยิ่งทุกข์มาก แต่ถ้าเรามีสัจธรรม เรามีสติปัญญาขึ้นมา เราใคร่ครวญของเราขึ้นมา ทุกข์นี้เป็นอนัตตา ! มันเกิดขึ้น.. ตั้งอยู่.. แล้วมันก็ดับไป.. มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป..
ดับไปเพราะอะไร เพราะมีสัจธรรม เพราะเรามีน้ำอมตธรรม เข้ามาชำระล้างในหัวใจของเรา นี่ไงศาสนา ศาสนธรรมเป็นที่พึ่งอาศัยนะ มีธรรมะเป็นที่พึ่งอาศัย เรามีพ่อแม่ของเราเป็นที่พึ่งอาศัยมาก่อน เพราะเราเกิดมาโดยสายบุญสายกรรม
สายบุญสายกรรมเห็นไหม มีพ่อแม่เป็นที่พึ่งอาศัย พ่อแม่เลี้ยงมาตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอย เวลาเลี้ยงขึ้นมา เราก็มีความกตัญญูกตเวที ความกตัญญูกตเวที เป็นเครื่องหมายของคนดี ! เป็นเครื่องหมายของคนดี ! แล้วคนดีจริงๆ มันดีอย่างไรล่ะ ดีจริงๆ เห็นไหม ดูซิ ดีจริงๆ น่ะ ดีในหัวใจของเรา ถ้าหัวใจมันดีแล้วเห็นไหม อยู่กับโลกโดยไม่เร่าร้อนนะ
ดูซิ โลกมันเร่าร้อนขนาดไหน โลกมันร้อนเพราะอะไร เพราะไม่มีสิ่งใดขัดเกลา ทุกคนเห็นแก่ตัว ทุกคนยึดมั่นถือมั่นว่ามันต้องเป็นสมบัติของเรา แม้แต่ชีวิตยังไม่ใช่สมบัติของเราเลย ถ้ามีธรรมะเข้ามาชำระล้าง ขัดง้างกิเลสตัณหาความทะยานอยาก แล้วทำไมเขาเห็นแก่ตัว ทำไมเขามีสถานะ ทำความเสียหายให้ชาติบ้านเมืองได้ขนาดนั้น
อันนี้มันเป็นสภาคกรรมนะ เราเกิดมาร่วมยุคสมัย เห็นไหม ดูซิ ผู้ที่เขาเกิดขึ้นมา ดูซิ เราเกิดมา พวกเรามีความภูมิใจกันมาก ว่าเราเกิดมาเป็นคนไทย คนไทยมีสถาบันพระมหากษัตริย์ ให้ความร่มเย็นเป็นสุขกับเราขนาดไหน
ดูสิ สมัยก่อนหน้านั้น เวลาการเมือง.. ทุกชาติล้มไปหมดเลย ทำไมของเราอยู่ได้ล่ะ ของเราอยู่ได้เพราะอะไร เพราะเวลาสิ่งที่เป็นคุณ เราก็เห็นว่าสิ่งนี้เป็นคุณ เวลาเป็นโทษขึ้นมาเห็นไหม เวลาบ้านเมืองทุกข์ร้อนขึ้นมา ทำไมจิตใจของเขาเป็นอย่างนั้น ทำไมเขามีอำนาจทำลายล้างได้ขนาดนั้น ถ้ามีอำนาจขนาดนั้นนะ นี่ไง เขาหาฟืนหาไฟใส่ตัวเขาทั้งนั้นล่ะ
ดูสิ ใครทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว แล้วมันเป็นความดีของใครล่ะ เขาว่าเป็นความดีของเขา ความดีของกิเลสไง สิ่งใดสิ่งหนึ่งในใจสิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์สิ่งนั้นเป็นอนัตตา มันเป็นอนิจจังทั้งหมดน่ะ
แล้วสิ่งที่ทำไปเป็นอนิจจังไหม มันก็ผ่านไปแล้ว แล้วมีแต่ความสะใจ ! สะใจว่าเราได้กระทำ เราไม่พอใจสิ่งใด ทำให้สะใจเรา ! สะใจเราไง !
สะใจ คืออะไร... สะใจคือกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ความอาฆาตมาดร้าย ความอาฆาตแค้น แต่ถ้าจิตใจมันเป็นสาธารณะนะ เรามีโอกาสเกิดมา เรามีกำลังของเรา เราจะเสียสละ เราจะช่วยเหลือเจือจานใคร ถ้าเราเสียสละเจือจานไป เราให้สิ่งใดไปแล้ว เพื่อเป็นประโยชน์กับเขา เราก็พอใจแล้ว
แต่ถ้าเขาไม่ยอมรับสิ่งที่เราแนะนำเขา เราไม่ยอมรับสิ่งที่ว่าเป็นประโยชน์กับเขา บางคนเขาไม่ยอมรับนะ เพราะอะไร เพราะวัฒนธรรมประเพณีมันแตกต่างกันไป
ดูซิ ดูอย่างวัฒนธรรมการกิน อาหารของแต่ละชนชาติน่ะ มันถูกจริตนิสัยของใคร สิ่งนั้นก็เป็นดีของเขา เราเอาวัฒนธรรมของเขาไปแยกแยะให้เขา เขายอมรับไหม เขาก็ไม่ยอมรับทั้งนั้นน่ะ
นี่ก็เหมือนกัน ความดีที่ว่าเป็นความดี ความดีของใคร แต่ถ้าเป็นความดีของเราล่ะ ความดีของเราเป็นสัจธรรมของเรา เราย้อนกลับมาที่เรา อัตตา หิ อัตตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ถ้าเอาตัวตน เอาหัวใจของเราไว้ได้แล้วมันเข้าใจหมด เข้าใจว่าจิตใจเป็นอย่างนี้หมด วัฒนธรรมประเพณีมันเป็นเปลือก
ทุกคนต้องเกลียดทุกข์ รักสุขทั้งนั้นน่ะ ! ต้องการความสุข แล้วความสุขสิ่งใด ทุกคนแสวงหากัน.. แสวงหาเพื่อความร่มเย็นเป็นสุขในหัวใจ แต่ถ้าคนแสวงหาไม่เป็นเห็นไหม มันก็เอาแต่ความเร่าร้อน
ดูซิ เราแสวงหาว่าสิ่งนั้นจะเป็นคุณงามความดีของเรา แล้วเราเอาอะไรสิ่งใดมา มันเป็นความดีของโลก นี่ฆราวาสธรรม ! ธรรมของฆราวาสเขา ฆราวาสนี่เขามีความกตัญญูกตเวที มีพ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก ครอบครัวมีการเสียสละ มีการเจือจาน มันก็เป็นเรื่องของโลก
ความดีของโลกเขาเพราะอะไร เพราะมันเป็นความดีของโลก เป็นความดีประจำโลก เสร็จแล้วเราละโลกนี้ไป มันก็อยู่ที่โลกนี้ แต่จิตใจเราได้รับเวรรับกรรมของเราไปใช่ไหม
แต่ถ้าเป็นความดีของใจล่ะ ความดีของใจ ! เราเกิดมาจากไหน เราก็เกิดมาจากพ่อแม่ เราเกิดมาจากกรรม มันมีจิต มันมีปฏิสนธิจิต จิตนี้มันเกิดมาเพราะแรงขับ เพราะแรงขับยังมีอวิชชาครอบงำมันอยู่ มันจะมีไปของมัน
ถ้ามันไม่มีกรรมของมัน เวลาเกิดขึ้นมาเห็นไหม พ่อแม่ทุกคนก็ต้องการให้ลูกเราเป็นคนดีหมดล่ะ ทุกคนปรารถนาแต่ความดีกันหมด แต่ทำไมมันไม่สมความปรารถนาล่ะ ทำไมไม่สมหวัง ทั้งๆ ที่เหตุผล สิ่งแวดล้อมเหมือนกันหมดเลย ทำไมคนจริตนิสัยไม่เหมือนกัน เพราะมันอยู่ในสังคมสิ่งแวดล้อมไม่เหมือนกัน ทำไมความเห็นเขาไม่เหมือนกันล่ะ ! กรรมที่เขาขับเคลื่อนมาเห็นไหม
ชีวิตนี้มาจากไหน ? ชีวิตมาจากไหน ? มาจากกรรม การกระทำของเรานี่แหละ การกระทำของจิตเรานี่เอง อย่างในปัจจุบันเราทำความดี ความชั่วของเรานี่เอง ที่ว่าเขาอาฆาตมาดร้าย เขาทำลาย ก็เป็นบาปเป็นกรรมของเขาเอง แล้วกรรมของเขาเองน่ะเวลาไปน่ะ..
ความลับไม่มีในโลกนะ ! เราคิด เราวางแผน เราจะทำสิ่งใด เราเป็นคนคิดขึ้นมาเอง พยานคือใจเราน่ะรับรู้ แล้วสิ่งนี้มันจะฝังใจ เราบอกว่า ไม่ใช่ ! ไม่มี ! ปฏิเสธไปหมด นรก สวรรค์ ทุกคนปฏิเสธว่าไม่มี เห็นไหม นรกไม่ไม่ สวรรค์ไม่มีทั้งนั้นล่ะ เกิดมาชาตินี้ ก็มีแต่ชาตินี้ ตายแล้วก็แล้วกันไป ถ้าเกิดมาชาตินี้แล้วทุกอย่างมันต้องควบคุมได้ ทุกอย่างมันต้องจัดการได้หมดล่ะ แต่จัดการไม่ได้ มันเป็นเรื่องสุดวิสัย เป็นเรื่องของกรรม มันคาดการณ์ไม่ได้
เรื่องของฤดูกาล เรื่องของภูมิอากาศ เราควบคุมมันได้ไหม... มันควบคุมไม่ได้ แต่วิทยาศาสตร์เขาพิสูจน์ได้นะ ว่าทำไมมันเป็นอย่างนี้ ฤดูกาลมันเปลี่ยนแปลงไปเพราะเหตุใด มันเปลี่ยนแปลงไปเพราะความเป็นไปของมนุษย์นี่แหละ ความเป็นอยู่ของเรา เราคาดการณ์ได้ เรารู้ได้ แต่เราควบคุมมันไม่ได้หรอก เพราะมันเป็นเรื่องสุดวิสัยของเรา
นี่ก็เหมือนกัน เรื่องของกรรม เรื่องของสภาวะแวดล้อม สิ่งต่างๆ ที่มันเกิดขึ้นมาน่ะ มันก็สภาพแวดล้อมอันเดียวกัน ทำไมคนเรามันไม่เหมือนกันล่ะ นี่ไง เพราะกิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจอันนั้น ถ้ากิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจอันนั้นเห็นไหม ชีวิตนี้มาจากไหน ถ้าชีวิตมาจากไหนแล้ว เราใคร่ครวญของเรา เรามีสติปัญญาของเรา ไม่มีใครแก้ไขให้ใครได้
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมนะ เราเป็นผู้ชี้แจงเท่านั้น ! นี่ก็เหมือนกัน เราถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ธรรมะคือสัจธรรม อริยสัจ ! ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค
มรรคคืออะไร การกระทำมันเป็นอย่างไร เราต้องสร้างของเราขึ้นมา เราปฏิบัติของเราขึ้นมา นี่ วัฒนธรรม ประเพณี ศาสนาเป็นเครื่องขัดเกลากิเลสนะ เวลาโยมมาทำบุญกุศลกันเห็นไหม อุตส่าห์แสวงหามา เพื่อความชุ่มเย็นในหัวใจของเรา เราเสียสละไปแล้วเราพอใจ ก็เป็นบุญของคฤหัสถ์
เวลาพระประพฤติปฏิบัติขึ้นมาล่ะ เวลาพระเห็นไหม ปฏิคาหก เวลาผู้รับมาแล้วเห็นไหม เมตตาสงสารเขา แล้วเมตตาเราไหม ถ้าเมตตาเราขึ้นมา นี่ฆราวาสธรรม !
ภิกษุล่ะ... ภิกษุเป็นผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร ถ้าสงสารคืออะไร คือการเกิดการตาย การเกิดการตายนี่วัฏสงสาร เพราะนี่เป็นผลของวัฏฏะ เราเกิดเราตายขึ้นมาก็เพราะสภาวะกรรมอันนี้ ถ้าสภาวะกรรมอันนี้ เห็นไหม เราจะชำระล้างมัน เราจะถอดถอนมันด้วยวิธีการใด เห็นไหม เวลาผู้ที่ประพฤติปฏิบัติมันก็ไปอีกแนวทางหนึ่ง
ธุดงควัตรมันเป็นเครื่องขัดเกลากิเลส เราแสวงหาเพื่อบุญกุศล เพื่ออำนาจวาสนาบารมี เวลามีศรัทธาความเชื่อขึ้นแล้วนี่ มันจะมีศรัทธาความเชื่อเข้าไปถอดถอน ดูสิ เวลาเรารักษาร่างกายของเรา เวลาเจ็บไข้ได้ป่วย เขาจะเปลี่ยนอวัยวะต่างๆ เขาเปลี่ยนของเขาไปนะ
แล้วจะเปลี่ยนความคิดล่ะ... เราเปลี่ยนความคิดเรา เราเปลี่ยนปัญญาของเรา ปัญญาของเรามันเป็นปัญญาทางโลก ปัญญาที่ว่าเพื่อตนเองน่ะ แต่เวลาเพื่อตนเอง เราทำบุญกุศลไปเกิดเป็นเทวดา อินทร์ พรหม เราชอบไหม
คนที่ประพฤติปฏิบัติ เขาไม่ต้องการ ! เขาไม่ปรารถนา ! เพราะอะไร เพราะอายุขัยเขายืนยาว มันก็ไปยืนยาวอยู่อย่างนั้น เสร็จแล้วพอหมดวาระมันก็หมุนไป แต่ถ้าเราเกิดเป็นมนุษย์ล่ะ เราเกิดเป็นมนุษย์เห็นไหม เราเกิดในพุทธศาสนา พุทธศาสนามันก็มีอริยสัจ
อริยสัจ คือ สัจจะความจริง ! สัจจะความจริงนะ ! ไม่ใช่ความจริงของเรา ความจริงของเรามันเป็นความจริงโดยสมมุติ ความจริงโดยคิดเอา โดยตรึกเอา ความจริงโดยให้คะแนนตัวเอง ตัดคะแนนตัวเอง ความจริงคือความจริงปรารถนา ความจริงอ้อนวอนไง มันไม่ใช่ความจริง !
ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมา มันเป็นประโยชน์ของเรา เพราะความจริงมันเกิดขึ้นมา มันไม่เกิดจากแรงปรารถนา มันไม่เกิดจากอ้อนวอน มันไม่เกิดจากสิ่งใดเลย มันเกิดจากมรรคญาณที่มันรวมตัว มันสมดุลย์ของมัน เป็นมรรคสามัคคี สิ่งนี้มีอยู่.. มีอยู่เพราะอะไร มีอยู่เพราะมีการกระทำไง มีอยู่เพราะมีการลองถูกลองผิดของใจไง ถ้าผิดใจ มันมีลองผิดลองถูกขึ้นมาเห็นไหม เวลาปัญญามันเกิดขึ้นมา..
ดูสิ เราฟังเทศน์อยู่ทุกวัน แล้วเราปฏิบัติอยู่ทุกวัน เราเข้าใจหมดทุกอย่างเรื่องธรรมะ ทุกข์ อริยสัจ มรรค ผู้ที่ศึกษามา ๙ ประโยค ๑๐ ประโยค เขารู้หมดนะ เขาแต่งบาลีได้ด้วย เขาแต่งอริยสัจเองก็ได้ ทำอะไรก็ได้ ทำไมเขาถอดถอนกิเลสเขาไม่ได้ล่ะ เพราะอะไร เพราะมันเป็นสิ่งที่เป็นแรงปรารถนา ที่เราต้องการให้เห็นนี่ใช่ไหม
แต่ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมา ! มันเป็นความจริงขึ้นมาจากตัวมันเองไง ดูสิ เวลาเราทำอาหาร อาหารที่มันสุก มันสุกด้วยตัวมันเองใช่ไหม เวลาอาหารดิบ เนื้อดิบ เราจะทำให้มันสุกขึ้นมา มันต้องใช้ความร้อนมันถึงสุกขึ้นมาใช่ไหม เนื้อมันดิบ แล้วมันดิบอย่างไร แล้วมันสุก มันสุกขึ้นมาในตัวมันเองได้อย่างไร แต่ผู้กระทำ ผู้ที่ทำอาหารนั้นอีกคนใช่ไหม อาหารนี้เป็นอีกเรื่องหนึ่งใช่ไหม
จิตก็เหมือนกัน ตัวจิตที่มันสุกของมันเอง มันทำของเองเห็นไหม มันไม่ใช่การศึกษามา การศึกษา คือสุตมยปัญญา
แต่เวลาผ่านไป มรรคญาณมันเกิดขึ้นมาในตัวของมันเอง มันชำระในตัวของมันเอง มันถอดถอนของมันเอง มันถอดถอนอย่างไร แล้วเนื้อนั้นมันจะสุก มันจะสุกด้วยตัวของมันเอง หัวใจมันจะสุก มันจะดิบด้วยตัวของมันเอง
หัวใจที่มันดิบในปัจจุบันนี้ มันรู้ว่ามันดิบ มันทุกข์ร้อนอยู่อย่างนี้ เวลาศึกษาธรรม มันก็เอาหัวใจดิบๆ ไปศึกษา แล้วเวลามันจะสุกขึ้นมา มันจะสุกอย่างไรล่ะ เวลามันมีเหตุผลมันจะสุกขึ้นมาเห็นไหม
นี่พุทธศาสนา ! ศาสนาเป็นเครื่องขัดเกลากิเลส เรามีศาสนาเป็นเครื่องขัดเกลาเรา เพื่ออยู่ในสังคมเห็นไหม มนุษย์อยู่ในสังคม มนุษย์เป็นสัตว์สังคม สิ่งที่เราทำแล้วเป็นคุณงามความดีของเรา ถ้าเขาไม่เห็น ใครไม่เห็น ก็เรื่องของเขา เรารู้ เรานี่ทำความดีของเรา เราเข้าใจในความดีของเรา เราพยายามทำดีของเรา
ครูบาอาจารย์สอนประจำ ใครจะทำความชั่ว ใครจะทำอย่างไร ก็เรื่องของเขา เราจะทำคุณงามความดีของเรา เพราะเราเห็นชีวิตของเรา เห็นจิตของเรา เพราะกรรมดีกรรมชั่ว ทำกรรมดีเพื่อใจของเรา
เราทำความดีของเรา มันจะสุขจะทุกข์ร้อนขนาดไหน เราจะทำความดีของเรา เราจะฝืนทนของเรา ทำเพื่อคุณงามความดีของเรา โลกเขาจะติเตียนนะ ว่าเราเป็นคนโง่ คนเซ่อ คนไม่เข้าใจ คนเสียเปรียบคน เราจะเสียเปรียบใครก็แล้วแต่ แต่เราไม่เสียเปรียบกิเลสของเราเอง ที่มันหลอกเรา นี่เราพอใจแล้ว
เราทำคุณงามความดีของเรา แล้วโลกจะเป็นอย่างไร เราทำแล้ว มันเรื่องสุดวิสัยของเราที่เราจะไปครอบงำแล้ว แล้วถ้าทำคุณงามความดีแล้ว ทุกคนทำคุณงามความดีร่วมกัน สังคมจะร่มเย็นเป็นสุข ถ้าสังคมร่มเย็นเป็นสุขเห็นไหม ใครเป็นผู้ทำล่ะ ก็ย้อนกลับมาผู้ที่กระทำนั้น
นี่เหมือนกัน ใจของเราทำเพื่อเรา แล้วเวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา มันจะเกิดการกระทำในหัวใจ เกิดมรรคญาณขึ้นมาในหัวใจ มันจะเห็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง ว่าเป็นที่พึ่งที่อาศัยได้จริง ธรรมะเป็นที่พึ่งที่อาศัยได้จริง ให้ใจนี่เป็นที่พึ่งที่อาศัยได้จริง
แต่เวลาเราเวียนตายเวียนเกิดในผลของวัฏฏะนี้ มันเป็นเรื่องของกรรม กัมมะพันธุ กัมมะปะฏิสะระโณ เรามีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งที่อาศัย เรามีกรรมเป็นผู้ขับดัน เรามีการกระทำเราขับดันหมดเลย อย่างนั้นเราทำคุณงามความดีของเราดีกว่า
ถ้ามันขับดันก็ให้มันดันไปที่ดีๆ ก่อน เอาความดีนี้ดัน ผลักดันให้สิ่งที่ดี เพราะมีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย มีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์เห็นไหม ไม่มีสิ่งใดเลย มีความดีความชั่วเรานั้นน่ะ โลกเป็นอย่างนั้นมันเรื่องของเขา อย่าเอาเขามาเผาใจเรา รับรู้ เราอยู่กับเขา เราอยู่กับโลกนะ มันเป็นอย่างนี้ โลกเป็นอย่างนี้
คนดี กับ คนเลว มันอยู่ด้วยกัน คนเลวมันมากกว่า มันก็ทำให้สังคมมันวุ่นวายไปมากกว่า ถ้าคนดีมากกว่า มันก็ดึงสังคมให้ร่มเย็นมากกว่า เราเกิดมาสังคมไหนเห็นไหม นี่สภาคกรรม ! เกิดร่วมสมัย เรามีธรรมร่วมกัน เราเกิดมาเป็นญาติกันโดยธรรม มีร่างกาย มีจิตใจเหมือนกัน ศึกษามาเหมือนกัน เพื่อประโยชน์กับเรานะ
นี่ธรรมะเป็นที่ขัดเกลา ศาสนาเป็นที่ขัดเกลากิเลส เรามีศาสนาเป็นที่พึ่งหัวใจ ให้เรามีจุดยืนของเรา เพื่อประโยชน์กับเรา เอวัง